รองอธิบดีกรมอุทยานฯ เตรียมนำกำลังขนย้ายเสือพรุ่งนี้ (30 พ.ค.)ขู่หากขัดขวาง พร้อมขอหมายศาล และดำเนินคดีทุกราย ด้านรอง ปธ.มูลนิธิฯยันไม่ยอมให้ขนย้ายเสือโคร่งเด็ดขาด หากมีการขอหมายศาลเราจะค้านทันที
ความคืบหน้ากรณีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ดำเนินการขนย้ายเสือโคร่งพันธุ์เบงกอล จำนวน 147 ตัว ออกจากวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปัณโณ หมู่ 5 ต.สิงห์ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ซึ่งก่อนหน้านี้กรมอุทยานฯได้ขนย้ายเสือไปแล้ว 2 ครั้ง คือวันที่ 28 ม.ค.จำนวน 5 ตัว และวันที่ 23 ก.พ.จำนวน 5 ตัว รวม 10 ตัว ทั้งหมดนำไปไว้ที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาประทับช้าง และสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาสน อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ปัจจุบันยังคงเหลืออยู่ จำนวน 137 ตัวที่จะย้ายออกทั้งหมด
ล่าสุดเมื่อเวลา 14.00 น.วันนี้ 29 พ.ค.59 ที่สำนักงานเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าลักพระ หมู่ 4 ต.วังด้ง อ.เมือง จ.กาญจนบุรี นายอดิศร นุชดำรงค์ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เดินทางมาเป็นประธานประชุมวางแผนในการดำเนินการขนย้ายเสือของกลางทั้งหมด โดยมีนางเตือนใจ นุชดำรงค์ ผอ.สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า นายศิริ อัคคะอัคร ผอ.สำนักป้องกันปราบปราม และควบคุมไฟป่า กรมอุทยานฯ(ผอ.สปฟ.) นายสมศักดิ์ ภู่เพ็ชร์ ผอ.ส่วนยุทธการป้องกันและปราบปราม กรมอุทยานฯ
นายสุนทร ฉายวัฒนะ ผอ.ส่วนคุ้มครองสัตว์ป่า กรมอุทยานฯ นายชาญวิทย์ กันยา นิติกรชำนาญการพิเศษ กรมอุทยานฯ นายบรรพต มาลีหวล หัวหน้าสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่า เขาประทับช้าง อ.จอมบึง จ.ราชบุรี นายชาติชาย ศรีแผ้ว หัวหน้าสำนักงานสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามที่ 1 ภาคกลาง นายไพฑูรย์ อินทรบุตร หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ เข้าร่วมวางแผน โดยการประชุมวางแผนครั้งนี้ใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง จึงแล้วเสร็จ
จากนั้นนายอดิศร นุชดำรงค์ รองอธิบดีกรมอุทยานฯ ได้เดินทางไปมอบนโยบายให้กับคณะเจ้าหน้าที่กรมอุทยาน และคณะสัตวแพทย์ สังกัดกรมอุทยานฯ ที่ห้อประชุมศูนย์ปฏิบัติการลาดตระเวน ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ในการขนย้ายเสือโคร่งของกลางออกจากวัดป่าหลวงตาบัวญาณสัมปัณโณ ที่เหลือจำนวน 137 ตัวในวันพรุ่งนี้ (30 พ.ค.) โดยเน้นย้ำเกี่ยวกับความปลอดภัยของเสือโคร่ง และความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ทุกนาย
โดยนายอดิศร นุชดำรงค์ รองอธิบดีกรมอุทยานฯ เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า ก่อนหน้านี้กรมอุทยานฯได้ทำหนังสือแจ้งให้ทางวัดป่าฯทราบแล้วว่า กรมอุทยานฯจะเข้ามาขนย้ายเสือของกลางทั้งหมดในวันที่ 30 พ.ค.เป็นต้นไปจนกว่าจะขนย้ายได้ทั้งหมด แต่ทางมูลนิธิวัดป่าหลวงตามหาบัวฯ ก็ได้มีหนังสือไปถึงกรมอุทยานฯแล้วเช่นกันว่า จะไม่ยินยอมให้กรมอุทยานฯเข้าทำการขนย้ายเสือ โดยให้เหตุผลว่าอยู่ระหว่างการรอฟังคำตัดสินของศาลปกครองกลาง อันที่จริงทางมูลนิธิฯได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองจริง แต่ศาลยังไม่มีคำสั่งรับไว้พิจารณาเลย
แต่อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 30 พ.ค.กรมอุทยานฯหวังว่าทางวัดฯและมูลนิธิวัดป่าหลวงตามหาบัวญาณสัมปันโน จะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีกับทางราชการ เพราะว่าการมาครั้งนี้เรามาปฏิบัติตามหน้าที่ ที่ทางกรมอุทยานฯเป็นผู้รับผิดชอบเสือของกลางทั้งหมด อีกทั้งเสือทั้งหมดก็เป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน และก็คงไม่สามารถที่จะให้ทางวัดหรือทางมูลนิธิฯนำเสือของกลางไปใช้หาประโยชน์ได้อีก
แต่ถ้าหากทางวัดป่าหลวงตาบัวฯไม่ยอมให้ความร่วมมือ ทางกรมอุทยานฯ ก็มีแผนรองรับเอาไว้แล้ว ด้วยการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติกร ไปขอหมายศาลเพื่ออนุญาตเข้าไปในพื้นที่ในการดำเนินการขนย้ายเสือเพื่อนำไปเลี้ยงไว้สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาสน และสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาประทับช้าง จ.ราชบุรี
สำหรับการขนย้ายเสือโคร่งครั้งนี้ หากได้รับความร่วมมือจากทางวัดเป็นอย่างดี กรมอุทยานฯได้เตรียมทีมสัตว์แพทย์เอาไว้ 4 ทีม และมีไว้สำรองอีก 1 ทีม เราตั้งเป้าเอาไว้ว่าขนย้ายเสือโคร่งได้วันละ 20 ตัว หรือมากกว่านั้น และคาดว่าจะใช้เวลาในการขนย้ายรวม 7 วัน แต่ถ้าหากมีการต่อสู้หรือขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ กรมอุทยานฯจำเป็นจะต้องแจ้งความดำเนินคดีกับทุกคน เพราะเราถือว่าเรามาปฏิบัติงานตามหน้าที่ และกรมอุทยานฯได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้าแล้ว
ด้าน พ.ต.อ.ศุภิฎพงศ์ ภักดิ์จรุง รองประธานมูลนิธิวัดป่าหลวงตามหาบัวญาณสัมปันโน ในฐานะกรรมการบริษัท ไทเกอร์ เทมเพิล จำกัด เปิดเผยว่า หากเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯนำกำลังเข้ามาขนย้ายเสือในวันพรุ่งนี้ (30 พ.ค.) เราก็จะไม่ยอมให้เข้าไปอย่างเด็ดขาด และหากทางกรมอุทยานฯ จะไปขอหมายศาล เราก็จะดำเนินการไปคัดค้านทันทีเช่นกัน
ปัจจุบันบริษัท ไทเกอร์ เทมเพิล จำกัด ได้ขอเช่าพื้นที่วัดให้เป็นที่อยู่ของเสือไปก่อนวันละ 3,000 บาท เราได้ยื่นขออนุญาตจากรมาอุทยานฯเพื่อก่อสร้างสวนสัตว์สาธารณะขึ้นบนเนื้อที่กว่า 20 ไร่ และเรากำลังเร่งดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อรองรับเสือโคร่งที่มีอยู่ แต่เมื่อเราได้รับใบอนุญาตจากกรมอุทยานฯแล้ว ทำไมกรมอุทยานฯจึงรีบมาขนย้ายเสือออกไป และยังบอกว่าให้ขนย้ายเสือไปก่อนแล้วค่อยเอากลับมาในภายหลัง ซึ่งตรงนี้ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ
นอกจากนี้การดำเนินการดังกล่าว ยังทำให้แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดกาญจนบุรี และประเทศไทยได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก เนื่องจากวัดเสือแห่งนี้เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ทางมูลนิธิฯอยากจะบอกว่า เสือมันเกิดที่ไหน ก็ขอให้มันตายที่นั่น เราจะไม่ยอมให้มีการขนย้ายเสืออย่างเด็ดขาด
เรวัติ น้อยวิจิตร นสพ.พลังชน ศูนย์ข่าวจังหวัดสุพรรณบุรี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น